สารบัญ
Toggleสำหรับประเทศไทย ครูในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ ตามระดับการศึกษา
ได้แก่
ครูระดับประถมศึกษา
มีหน้าที่หลักในการสอนวิชาพื้นฐานที่จำเป็นต่อเด็ก เช่น ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา สุขศึกษา เป็นต้น
ครูระดับมัธยมศึกษา
มีหน้าที่หลักในการสอนวิชาพื้นฐานเพิ่มเติมจากระดับประถมศึกษา และวิชาเลือกตามความสนใจของผู้เรียน เช่น ภาษาต่างประเทศ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยี ศิลปกรรมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ เป็นต้น
ครูสามารถแบ่งประเภทได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่ง
ดังนี้
ประเภทตามสถานศึกษา
แบ่งได้เป็น ครูในสถานศึกษาของรัฐ ครูในสถานศึกษาเอกชน ครูในสถานศึกษานานาชาติ
ประเภทตามระดับการศึกษา
แบ่งได้เป็น ครูระดับอนุบาล ครูระดับประถมศึกษา ครูระดับมัธยมศึกษา ครูระดับอุดมศึกษา
ประเภทตามสาขาวิชา
แบ่งได้เป็น ครูสอนวิชาวิทยาศาสตร์ ครูสอนวิชาคณิตศาสตร์ ครูสอนวิชาภาษาไทย ครูสอนวิชาสังคมศึกษา เป็นต้น
ประเภทตามลักษณะการสอน
แบ่งได้เป็น ครูสอนแบบบรรยาย ครูสอนแบบสาธิต ครูสอนแบบฝึกปฏิบัติ ครูสอนแบบโครงงาน เป็นต้น
ประเภทตามการบรรจุ
แบ่งได้เป็น ครูที่เป็นข้าราชการ ในสังกัดต่างๆ เช่น สพฐ. , กทม. , อาชีวศึกษา , ท้องถิ่น เป็นต้น และ ครูเอกชน
ครูบรรจุและครูเอกชนต่างก็มีบทบาทหน้าที่ในการถ่ายทอดความรู้ให้กับนักเรียนเหมือนกัน แต่มีความแตกต่างในหลายด้าน ดังนี้
สถานะทางการทำงาน
ครูบรรจุเป็นข้าราชการครู สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ มีสถานะเป็นพนักงานราชการ มีความมั่นคงในอาชีพ ได้รับการบรรจุแต่งตั้งตามตำแหน่งและเงินเดือนตามวุฒิการศึกษาและประสบการณ์การทำงาน มีโอกาสได้รับการเลื่อนตำแหน่งและเงินเดือนตามผลการปฏิบัติงาน
ส่วนครูเอกชนเป็นพนักงานของโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) กระทรวงศึกษาธิการ มีสถานะเป็นลูกจ้าง มีความมั่นคงในอาชีพน้อยกว่าครูบรรจุ ได้รับการจ้างงานตามสัญญาจ้าง เงินเดือนและสวัสดิการขึ้นอยู่กับนโยบายของโรงเรียน
ภาระงาน
ครูบรรจุมีภาระงานหลักคือการจัดการเรียนการสอนให้กับนักเรียน นอกเหนือจากนั้นอาจต้องรับผิดชอบงานอื่นๆ เช่น งานปกครอง งานธุรการ งานวิจัย เป็นต้น ครูบรรจุมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามระเบียบและข้อบังคับของทางราชการ
ส่วนครูเอกชนมีภาระงานหลักคือการจัดการเรียนการสอนให้กับนักเรียน นอกเหนือจากนั้นอาจต้องรับผิดชอบงานอื่นๆ เช่น งานปกครอง งานธุรการ งานกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เป็นต้น ครูเอกชนมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของโรงเรียน
สิทธิประโยชน์
ครูบรรจุได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ จากทางราชการ เช่น เงินเดือนประจำ เบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญ สวัสดิการการรักษาพยาบาล ประกันสังคม เป็นต้น
ส่วนครูเอกชนได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ จากโรงเรียน เช่น เงินเดือน เบี้ยเลี้ยง สวัสดิการการรักษาพยาบาล ประกันสังคม เป็นต้น
โอกาสความก้าวหน้า
ครูบรรจุมีโอกาสได้รับการเลื่อนตำแหน่งและเงินเดือนตามผลการปฏิบัติงาน มีโอกาสได้รับทุนการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะและความรู้
ส่วนครูเอกชนมีโอกาสได้รับการเลื่อนตำแหน่งตามการพิจารณาของผู้บริหารโรงเรียน มีโอกาสได้รับทุนการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะและความรู้
ปัจจัย | ครูบรรจุ | ครูเอกชน |
---|---|---|
สถานะทางการทำงาน | ข้าราชการครู | ลูกจ้าง |
ความมั่นคงในอาชีพ | มั่นคง | ไม่มั่นคง |
เงินเดือน | ตามวุฒิการศึกษาและประสบการณ์การทำงาน | ตามนโยบายของโรงเรียน |
สวัสดิการ | เงินเดือนประจำ เบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญ สวัสดิการการรักษาพยาบาล ประกันสังคม เป็นต้น | เงินเดือน เบี้ยเลี้ยง สวัสดิการการรักษาพยาบาล ประกันสังคม เป็นต้น |
ภาระงาน | การจัดการเรียนการสอน งานปกครอง งานธุรการ งานวิจัย เป็นต้น | การจัดการเรียนการสอน งานปกครอง งานธุรการ งานกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เป็นต้น |
โอกาสความก้าวหน้า | ได้รับการเลื่อนตำแหน่งและเงินเดือนตามผลการปฏิบัติงาน มีโอกาสได้รับทุนการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะและความรู้ | ได้รับการเลื่อนตำแหน่งตามการพิจารณาของผู้บริหารโรงเรียน มีโอกาสได้รับทุนการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะและความรู้ |
หมายเหตุ
- ข้อมูลในตารางนี้เป็นเพียงข้อมูลทั่วไปเท่านั้น อาจมีความแตกต่างไปในแต่ละโรงเรียนหรือแต่ละหน่วยงาน
- การเลือกทำงานเป็นครูจึงควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ประกอบกัน เพื่อให้ได้งานที่เหมาะสมกับตนเอง
สรุปสั้นๆ
สำหรับประเทศไทย ครูในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ ตามระดับการศึกษา
ได้แก่
ครูระดับประถมศึกษา
มีหน้าที่หลักในการสอนวิชาพื้นฐานที่จำเป็นต่อเด็ก เช่น ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา สุขศึกษา เป็นต้น
ครูระดับมัธยมศึกษา
มีหน้าที่หลักในการสอนวิชาพื้นฐานเพิ่มเติมจากระดับประถมศึกษา และวิชาเลือกตามความสนใจของผู้เรียน เช่น ภาษาต่างประเทศ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยี ศิลปกรรมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ เป็นต้น
ครูบรรจุและครูเอกชนต่างก็มีบทบาทหน้าที่ในการถ่ายทอดความรู้ให้กับนักเรียนเหมือนกัน แต่มีความแตกต่างในหลายด้าน ดังนี้
สถานะทางการทำงาน
ครูบรรจุเป็นข้าราชการครู สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ มีสถานะเป็นพนักงานราชการ มีความมั่นคงในอาชีพ ได้รับการบรรจุแต่งตั้งตามตำแหน่งและเงินเดือนตามวุฒิการศึกษาและประสบการณ์การทำงาน มีโอกาสได้รับการเลื่อนตำแหน่งและเงินเดือนตามผลการปฏิบัติงาน
ส่วนครูเอกชนเป็นพนักงานของโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) กระทรวงศึกษาธิการ มีสถานะเป็นลูกจ้าง มีความมั่นคงในอาชีพน้อยกว่าครูบรรจุ ได้รับการจ้างงานตามสัญญาจ้าง เงินเดือนและสวัสดิการขึ้นอยู่กับนโยบายของโรงเรียน
ภาระงาน
ครูบรรจุมีภาระงานหลักคือการจัดการเรียนการสอนให้กับนักเรียน นอกเหนือจากนั้นอาจต้องรับผิดชอบงานอื่นๆ เช่น งานปกครอง งานธุรการ งานวิจัย เป็นต้น ครูบรรจุมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามระเบียบและข้อบังคับของทางราชการ
ส่วนครูเอกชนมีภาระงานหลักคือการจัดการเรียนการสอนให้กับนักเรียน นอกเหนือจากนั้นอาจต้องรับผิดชอบงานอื่นๆ เช่น งานปกครอง งานธุรการ งานกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เป็นต้น ครูเอกชนมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของโรงเรียน
สิทธิประโยชน์
ครูบรรจุได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ จากทางราชการ เช่น เงินเดือนประจำ เบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญ สวัสดิการการรักษาพยาบาล ประกันสังคม เป็นต้น
ส่วนครูเอกชนได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ จากโรงเรียน เช่น เงินเดือน เบี้ยเลี้ยง สวัสดิการการรักษาพยาบาล ประกันสังคม เป็นต้น
โอกาสความก้าวหน้า
ครูบรรจุมีโอกาสได้รับการเลื่อนตำแหน่งและเงินเดือนตามผลการปฏิบัติงาน มีโอกาสได้รับทุนการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะและความรู้
ส่วนครูเอกชนมีโอกาสได้รับการเลื่อนตำแหน่งตามการพิจารณาของผู้บริหารโรงเรียน มีโอกาสได้รับทุนการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะและความรู้